คลื่นการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญกำลังถาโถมเข้าสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Amazon และ Google ต่างมุ่งหน้าปรับเปลี่ยนองค์กรให้มีลักษณะ “แบนราบ” (Flatter Structure) มากขึ้น ด้วยการลดจำนวนผู้จัดการระดับกลางลงอย่างมีนัยสำคัญ เป้าหมายหลักคือการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ความคล่องตัวในการตัดสินใจ และการจัดสรรทรัพยากรใหม่เพื่อมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกมิติ

รายงานข่าวหลายสำนักในช่วงเดือนพฤษภาคม 2025 ยืนยันตรงกันถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลงนี้ โดย Microsoft กำลังอยู่ในระหว่างหรือวางแผนที่จะดำเนินการลดตำแหน่งงาน โดยเฉพาะในระดับผู้จัดการ เพื่อเพิ่ม “ช่วงการควบคุม” (Span of Control) หรือจำนวนพนักงานที่ผู้จัดการหนึ่งคนดูแลให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดลำดับชั้นการบังคับบัญชาลง มีรายงานว่า Microsoft ตั้งเป้าปรับอัตราส่วนระหว่างวิศวกรต่อผู้จัดการ จากเดิมที่อาจใกล้เคียงกัน มาเป็นการเพิ่มจำนวนวิศวกรหรือ “ผู้สร้าง” (Builders) ให้มากขึ้นเมื่อเทียบกับผู้ที่ทำหน้าที่ “ดูแล” (Overseers) โดยคาดการณ์ว่าอาจมีการปรับลดพนักงานทั่วโลกราว 3% หรือประมาณ 6,000-6,800 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับตัวให้เข้ากับยุค AI และเพิ่มความคล่องตัวของทีม
ทางด้าน Amazon ภายใต้การนำของซีอีโอ แอนดี้ แจสซี่ ก็ได้ดำเนินกลยุทธ์ลดจำนวนผู้จัดการระดับกลางมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายงานว่าสามารถบรรลุเป้าหมายการลดผู้จัดการลง 15% ได้แล้วในช่วงต้นปี 2025 และมีแผนที่จะลดจำนวนผู้จัดการลงอีกนับหมื่นตำแหน่งภายในปีเดียวกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่ายมหาศาล (คาดการณ์ว่าจะประหยัดได้ถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี) และนำงบประมาณไปลงทุนในระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยี AI มากขึ้น Amazon เองก็ให้ความสำคัญกับ “อัตราส่วนผู้สร้าง” (Builder Ratio) ซึ่งวัดสัดส่วนวิศวกรต่อตำแหน่งที่ไม่ใช่วิศวกร
ขณะที่ Google ก็ไม่น้อยหน้า มีรายงานว่า ซุนดาร์ พิชัย ซีอีโอ ได้เปิดเผยในช่วงปลายปี 2024 หรือต้นปี 2025 ว่าบริษัทได้ลดจำนวนรองประธาน (VP) และผู้จัดการลง 10% เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและผลผลิตต่อหัวของพนักงาน การเปลี่ยนแปลงนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความซับซ้อนของโครงสร้างองค์กรที่อาจเทอะทะจากจำนวนผู้จัดการที่มากเกินไป
เหตุผลเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
การปรับโครงสร้างองค์กรสู่รูปแบบที่แบนราบขึ้นในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำนี้ มีปัจจัยขับเคลื่อนหลายประการ:
- เพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัว: การลดลำดับชั้นการบริหารช่วยให้การตัดสินใจรวดเร็วขึ้น ลดขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน และองค์กรสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ฉับไวยิ่งขึ้น
- มุ่งเน้นบุคลากรสายเทคนิค: ให้ความสำคัญกับวิศวกรและผู้ที่มีส่วนร่วมโดยตรงกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม มากกว่าตำแหน่งบริหารจัดการ
- ลดต้นทุน: การลดตำแหน่งผู้จัดการระดับกลางช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างมีนัยสำคัญ
- ทุ่มเทให้กับ AI: จัดสรรทรัพยากรบุคคลและงบประมาณใหม่เพื่อมุ่งพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการแข่งขันในอนาคต
- แนวโน้มของคนรุ่นใหม่: มีการศึกษาที่ชี้ว่าคนรุ่นใหม่ (Gen Z) มีแนวโน้มที่จะไม่ต้องการตำแหน่งผู้จัดการระดับกลาง แต่ให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระและการเติบโตส่วนบุคคลมากกว่า
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ก็อาจมาพร้อมกับความท้าทาย เช่น ขวัญกำลังใจของพนักงานที่อาจลดลง โอกาสในการเติบโตในสายอาชีพแบบเดิมอาจน้อยลง และภาระงานที่เพิ่มขึ้นสำหรับพนักงานที่ยังอยู่ รวมถึงความต่อเนื่องในการให้การสนับสนุนลูกค้าอาจได้รับผลกระทบจากการสูญเสียบุคลากรที่มีประสบการณ์และความรู้เฉพาะทาง
การปรับทัพครั้งนี้ของเหล่าบิ๊กเทค สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการปรับตัวเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและเป็นผู้นำในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมี AI เป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรม