TechWorld News

บิล เกตส์ ชี้ AI คือกุญแจสู่การแก้ปัญหา “หมอ-ครู” ขาดแคลน และเปิดยุคใหม่แห่ง “เวลาว่าง”

บิล เกตส์ ชี้ AI คือคำตอบ! ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลน “หมอ-ครู” แถมมนุษย์จะมี “เวลาว่าง” มากขึ้น

เรดมอนด์, วอชิงตัน – บิล เกตส์ มหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft และนักคิดผู้ทรงอิทธิพล ได้แสดงทัศนะล่าสุดเกี่ยวกับผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่ออนาคตการทำงาน โดยมองว่า AI ไม่เพียงแต่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานในหลากหลายอาชีพ แต่ยังมีศักยภาพมหาศาลในการช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในสาขาสำคัญ เช่น แพทย์และครู นอกจากนี้ เขายังคาดการณ์ว่า การพัฒนาของ AI จะนำไปสู่ยุคที่มนุษย์มี “เวลาว่าง” (Free Time) มากขึ้น และอาจทำงานน้อยลงเหลือเพียง 3 วันต่อสัปดาห์

ตามรายงานของ Business Insider เมื่อเดือนเมษายน 2025 นายเกตส์ได้ให้สัมภาษณ์และแสดงความคิดเห็นในหลายโอกาสว่า AI จะเข้ามาเป็นเครื่องมือทรงพลังในการเพิ่มประสิทธิภาพและแบ่งเบาภาระงานในวิชาชีพที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูงและมีการบริการเป็นหัวใจสำคัญ

AI กับการแก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากร:

นายเกตส์เชื่อว่า AI สามารถช่วยลดภาระงานเอกสาร งานธุรการ และงานที่ต้องทำซ้ำๆ ของแพทย์และครูได้เป็นอย่างมาก ทำให้พวกเขามีเวลาไปทุ่มเทให้กับหน้าที่หลัก เช่น การดูแลผู้ป่วยและการสอนนักเรียนได้อย่างเต็มที่มากขึ้น

  • ในวงการแพทย์: AI สามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคเบื้องต้น วิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ จัดการข้อมูลผู้ป่วย และแม้กระทั่งช่วยในการพัฒนายาใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถดูแลผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแพทย์ในพื้นที่ห่างไกลได้
  • ในวงการศึกษา: AI สามารถช่วยครูในการเตรียมการสอน สร้างสื่อการเรียนรู้ที่ปรับให้เข้ากับนักเรียนแต่ละคน (Personalized Learning) ตรวจงาน และให้ข้อเสนอแนะเบื้องต้นแก่นักเรียนได้ ทำให้อาชีพครูมีความน่าสนใจมากขึ้น และอาจดึงดูดให้คนเข้ามาในวิชาชีพนี้มากขึ้น ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนครูในระยะยาว

อนาคตการทำงานและ “เวลาว่าง” ที่เพิ่มขึ้น:

นอกจากการช่วยเสริมประสิทธิภาพในวิชาชีพเฉพาะทางแล้ว บิล เกตส์ ยังมองไปถึงภาพรวมที่ AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานของมนุษย์โดยทั่วไป เขาคาดการณ์ว่าในอนาคต เมื่อ AI สามารถทำงานหลายๆ อย่างแทนมนุษย์ได้ มนุษย์อาจไม่จำเป็นต้องทำงานหนักเท่าเดิม

“ผมคิดว่าในอนาคต เราอาจจะมีสังคมที่ผู้คนทำงานเพียง 3 วันต่อสัปดาห์ และมีเวลาว่างมากขึ้นในการทำกิจกรรมอื่นๆ ที่มีความหมายต่อชีวิต เช่น การพักผ่อน การใช้เวลากับครอบครัว หรือการทำงานอาสาสมัครเพื่อสังคม” นายเกตส์กล่าว (อ้างอิงจากแนวคิดที่เขามักแสดงออก) โดยมองว่า AI จะช่วยให้ผลิตภาพ (Productivity) โดยรวมสูงขึ้น จนทำให้การทำงานน้อยลงเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง

ความท้าทายและการปรับตัว:

อย่างไรก็ตาม นายเกตส์ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนด้วย AI นี้จะมาพร้อมกับความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการปรับทักษะของแรงงาน (Reskilling และ Upskilling) และการรับมือกับปัญหาการว่างงานที่อาจเกิดขึ้นในบางกลุ่มอาชีพที่ AI สามารถเข้ามาทดแทนได้ทั้งหมด สังคมจำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ และให้ความสำคัญกับการศึกษาและการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต

เขายังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อให้แน่ใจว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง และไม่ก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้น

ทัศนะของบิล เกตส์ สะท้อนให้เห็นถึงทั้งโอกาสและความท้าทายที่ AI จะนำมาสู่อนาคตการทำงานและวิถีชีวิตของมนุษย์ การเตรียมความพร้อมและการปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้เราสามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีที่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้

คุณมีปฏิกิริยาอย่างไร

ทิ้งคําตอบไว้

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง