สถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนยังคงตึงเครียด ล่าสุดมีรายงานบ่งชี้ว่ายอดการส่งออกสมาร์ทโฟนจากจีนไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้ลดลงอย่างฮวบฮาบ คาดการณ์ว่าจะแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2011 หรือในรอบกว่า 14 ปี ปรากฏการณ์นี้เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายกีดกันทางการค้า การปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานครั้งใหญ่ของผู้ผลิต และการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด
แม้ตัวเลขสถิติที่แน่ชัดจากรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2025 จะยังไม่สามารถเข้าถึงได้โดยตรง แต่แนวโน้มที่ผู้เชี่ยวชาญและข้อมูลตลาดหลายแหล่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันคือ ส่วนแบ่งตลาดของสมาร์ทโฟนแบรนด์จีนในสหรัฐฯ แทบจะไม่มีนัยสำคัญอีกต่อไป โดยเฉพาะแบรนด์ใหญ่อย่าง Xiaomi, Oppo และ Vivo ที่เคยพยายามเจาะตลาดนี้ ขณะที่ Apple และ Samsung ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ได้อย่างเหนียวแน่น

ปัจจัยซับซ้อนฉุดรั้งการเติบโต
การดิ่งลงของยอดส่งออกสมาร์ทโฟนจีนไปยังสหรัฐฯ มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวพันกัน:
- ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้า: มาตรการคว่ำบาตรต่อบริษัทเทคโนโลยีจีน เช่น Huawei รวมถึงการตั้งกำแพงภาษี และความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากจีน ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรง
- การย้ายฐานการผลิตและกระจายห่วงโซ่อุปทาน: ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ รวมถึงซัพพลายเออร์หลักของ Apple อย่าง Foxconn ได้เร่งย้ายฐานการผลิตออกจากจีนไปยังประเทศอื่น เช่น อินเดีย เวียดนาม เม็กซิโก และไทย เพื่อลดความเสี่ยงจากสงครามการค้า ลดต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นในจีน และสร้างความยืดหยุ่นให้กับห่วงโซ่อุปทานภายใต้กลยุทธ์ “China Plus One”
- การแข่งขันในตลาด: การแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์เจ้าตลาดเดิม และความภักดีต่อแบรนด์ของผู้บริโภคชาวอเมริกันเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย
- ความกังวลด้านความปลอดภัย: ประเด็นเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานยังคงเป็นข้อกังวลที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีจากจีน
ผลกระทบในวงกว้าง
แนวโน้มดังกล่าวไม่เพียงส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตสมาร์ทโฟนของจีนที่สูญเสียตลาดสำคัญ แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก บทบาทของจีนในฐานะ “โรงงานโลก” โดยเฉพาะสำหรับสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ กำลังลดน้อยถอยลง ซึ่งอาจนำไปสู่การปิดโรงงานและการสูญเสียตำแหน่งงานในจีนในบางภาคส่วน
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคงและหลากหลายโดยไม่ต้องพึ่งพาจีน ซึ่งต้องใช้เวลาและการลงทุนจำนวนมาก การเปลี่ยนแปลงนี้ยังบ่งชี้ถึงแนวโน้มการ “แยกส่วน” (Decoupling) ของเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างสองมหาอำนาจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
ผู้เชี่ยวชาญมองว่าปรากฏการณ์นี้เป็นแนวโน้มระยะยาวที่น่าจะดำเนินต่อไป ตราบใดที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงอยู่ และทั้งสองฝ่ายยังคงดำเนินนโยบายที่มุ่งเน้นการปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของตนเองเป็นหลัก